ผมได้ลงมือทำเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานที่กรุงเทพครับ! การขอแต่งงานด้วยการประดับห้องและช่อดอกกุหลาบ 100 ดอก ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ・・・
เรื่องราวระหว่างผมกับแฟน
ผมมีแฟนเป็นคนไทยครับ
เรื่องราวความรักของเราเดี๋ยวจะขอเล่าในโอกาสอื่นนะครับ ผมคบกับแฟนมาได้ปีกว่าๆ พ่อแม่รับรู้และเราไปมาหาสู่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายเสมอครับ
เราทั้งสองเริ่มมีความคิดจะแต่งงานบ้างครับ แต่ก็ไม่ได้พูดหรือทำอย่างจริงจังเป็นเรื่องราวอะไรว่าเราจะแต่งงาน
โดยก่อนหน้าการขอแต่งงานหนึ่งสัปดาห์ แฟนผมมีปฏิกริยาบอกใบ้อยู่บ่อยๆ เหมือนเตือนว่าถึงเวลาที่เจ้าตัวอยากจะแต่งงานแล้วครับ(แต่ผมมารู้ทีหลังครับว่าจริงๆแล้วดูเหมือนแฟนจะไม่ได้คิดแบบนั้น ฮ่าๆ)
ตัวอย่างที่ผมเจอ เช่น
“ฉันจะลองหางานที่ญี่ปุ่นดีมั้ยนะ”
“ฉันจะใช้ชีวิตอยู่ญี่ปุ่นได้มั้ยนะ”
“เดี๋ยวต้องไปทำพาสปอร์ตใหม่ละ”
“ครอบครัวกับญาติๆเริ่มถามแล้วอ่ะว่าจะแต่งงานเมื่อไหร่”
“ถ้าอยู่ที่ญี่ปุ่น อยากอยู่บ้านที่เลี้ยงแมวได้เนอะ”
บลาๆยิ่งไปกว่านั้นครับ ผมมีกำหนดที่จะต้องไปร่วมงานแต่งงานของพนังงานคนไทยที่บริษัท เธอยังพูดว่า
“คุณไปดูวิธีแต่งงานแบบไทยมาดีๆนะ”
โอ้โห นี่มันเท่ากับเป็นการยื่นคำขาดเลยดิ
(แต่สุดท้าย ดูเหมือนที่พูดไปไม่ได้หวังให้ผมขอแต่งงานเลยครับ)
ที่ผ่านมาผมกับแฟนก็มีทะเลาะกันบ้าง จากนี้ไปก็คงยังมีทะเลาะกันอีก แต่ผมก็ได้เดินมาถึงจุดที่ผมเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้ ผมจึงตัดสินใจทำหน้าที่ลูกผู้ชายคนนึงด้วยการขอแฟนแต่งงานครับ
คิดแผน
ควรจะขอแต่งงานยังไง? ผมคิดว่าคู่ที่จะแต่งงานแต่ละคู่ก็คงมีวิธีขอที่ไม่เหมือนกัน หรืออาจจะมีบางคู่ที่สุดท้ายแต่งงานกันไปโดยที่ไม่ได้ขอแต่งงาน
ผมตัดเรื่องที่ว่าผู้หญิงแต่ละชาติจะชอบให้ขอแต่งงานแบบไหนทิ้งไป เช่น เพราะเป็นคนไทยควรขอแบบนี้ หรือว่าเพราะเป็นคนญี่ปุ่นต้องทำแบบนี้ และอื่นๆ แต่ผมตัดสินใจแล้วว่า จะต้องทำให้มันออกมาให้โรแมนติก ครับ
ถ้าขอแบบไม่โรแมนติกคงมีโอกาสที่จะไม่สำเร็จ
แต่ถ้าขอแต่งงานให้มันโรแมนติดสุดๆนี่…คงไม่มีทางไม่สำเร็จหรอกเนอะ?
แต่ปัญหาหลักคือ ผมกับแฟนเจอกันทุกวัน แล้วไหนเสาร์-อาทิตย์ก็ตัวติดกันแทบจะตลอดเวลาอีก
ดังนั้นผมจึงคิดว่าด้วยความที่แฟนผมเป็นคนชอบการเซอไพรส์ ถ้าทำเซอไพรส์ขอแต่งงานแบบโรแมนติกนี่ต้องสำเร็จแน่ๆ
พอลองคิดหลายๆอย่าง มาลงตัวที่เอาวันที่ไม่มีอะไรพิเศษ ผมจึงตัดสินใจทำเซอร์ไพส์ตอนแฟนกลับมาออกกำลังกายที่คอนโดนี่แหละ
ปกติแฟนผมจะมีเทรนเนอร์ส่วนตัว ออกกำลังกายที่ฟิตเนสคอนโดของผมเป็นประจำ ดังนั้นผมจึงมีเวลาในการตกแต่งห้องตอนแฟนไม่อยู่เป็นเวลา 1 ชม.ถ้วน
แผนการขอแต่งงาน
ลางานช่วงบ่าย ตอนเช้าออกไปทำงานตามปกติ
13:00 เดินทางออกจาสีลม
ไปซื้อการ์ดเพื่อเขียนข้อความ ( ขึ้นอยู่กับเวลาเลิกงาน )
13:30 ถึงตลาดดอกไม้(ปากคลองตลาด)
ให้จัดช่อดอกไม้ จากดอกกุหลาบที่ซื้อมา 100 ดอก
และซื้อดอกไม้สำหรับประดับอีก 3 อย่าง กะเวลาประมาณการรถติด 30 นาที
14:00 ออกจากตลาดดอกไม้(ปากคลองตลาด)
14:30 กลับเข้าคอนโดหนึ่งครั้ง เอาของมาเก็บและออกไปอีก
15:00 ถึงร้านขายลูกโป่งที่ห้วยขวาง
ซื้อลูกโป่ง 30 ลูก + ของตกแต่งอีกจำนวนหนึ่ง กะเวลาประมาณการรถติด 30 นาที
15:30 กลับถึงคอนโดและเตรียมการต่อ
เอาจดหมายที่เขียนไว้ไปหย่อนที่ตู้จดหมายคอนโดก่อนแฟนจะมา
เอาของทั้งหมดออกจากห้องแล้วไปเตรียมต่อที่ลานจอดรถคอนโด
ที่ต้องทำหลักๆคือเป่าลูกโป่ง มีเวลาเตรียมการประมาณ 2 ชม.ระหว่างที่แฟนไปฟิตเนส
17:30 แฟนเลิกงาน
18:00〜19:00 แฟนไปออกกำลังกายที่ฟิตเนส
ระหว่างนี้เป็นเวลาเตรียมของตกแต่งห้อง ติดการ์ดและกุญแจไขตู้จดหมายของคอนโดไว้ที่หน้าประตูห้องเพื่อเป็นการเริ่มต้นเซอร์ไพรส์
19:10 แฟนกลับมาจากออกกำลังกายที่ฟิตเนส
ไปหยิบการ์ดที่ตู้จดหมายตามที่เขียนบอกไว้ในการ์ด
19:30 แฟนกลับมาอีกรอบ
ขอแต่งงานด้วยช่อดอกกุหลาบกับการตกแต่งห้อง
ออกจากสีลมเพื่อซื้อของ
ที่ทำงานผมอยู่แถวๆสีลมครับ พอเลิกงานเสร็จก็ไปซื้อการ์ดเขียนข้อความและพวกเทปใสต่างๆ
หาการ์ดที่มีใจความตรงกับการขอแต่งงานไม่เจอเลย ผมเริ่มกังวลครับ
มีแต่การ์ดอวยพรงานแต่งคนอื่น หรือพวกการ์ดแต่งงานอะไรแบบนี้เยอะแยะเต็มไปหมด แต่การ์ดขอแต่งงานดันไม่มีเลยสักใบเดียวครับ
เพื่อจะขอแฟนแต่งงาน ผมทำตัววิ่งวุ่นเหมือนนกหนุ่มที่เตรียมสิ่งต่างๆ หวังจะสร้างความประทับให้แก่นกสาว สิ่งมีชีวิตก็คงจะมีวงจรชีวิตกันแบบนี้สินะ จู่ๆผมก็เผลอคิดราวกับตัวเองเป็นตัวเอกของสารคดีประเภทNational Geographic หรือ Animal Planet อะไรเทือกนี้ขึ้นมา
ซื้อช่อกุหลาบ 100 ดอกที่ปากคลองตลาด
ผมไปซื้อช่อกุหลาบ 100 ดอกและช่อดอกไม้อื่นๆที่ปากคลองตลาด
จากสถานีสีลมผมนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานีหัวลำโพงครับ
จากสถานีหัวลำโพงไปปากคลองตลาดเนี่ยรถติดตลอดครับ เพื่อเป็นการประหยัดเวลา ผมจึงเลือกใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้าง (นั่งวิน)ครับ
หมวกกันน็อคเชยสุดๆ
นั่งวินจากสถานีหัวลำโพงประมาณ 10 นาที ก็มาถึงที่ปากคลองตลาด
ดอกไม้มีขายอยู่มากมายเลยครับ ถ้าจะมีผู้ชายคนไหนหาช่อกุหลาบสัก 100 ดอก เหมือนผมเพื่อขอสาวแต่งงานที่นี่มีให้แน่นอนครับ เยอะขนาดที่ว่าน่าจะไม่มีดอกไม้ที่หาซื้อไม่ได้เลยล่ะ
เพราะนี่เป็นการขอแต่งงานครั้งเดียวในชีวิต ดังนั้น ผมจึงเลือกดอกไม้ที่เกรดสูงขึ้นมาอย่างไม่ขี้งก
และดูเหมือนดอกไม้จะเป็นใจ ดอกราคาถูกๆนั้นทั้งเล็กและช้ำทีเดียวครับ
ผมขอให้ทางร้านจัดช่อดอกไม้ให้ด้วย ร้านจัดอย่างประณีตมากจนกินเวลาไปกว่าที่คิด
ตอนแรก ที่แม่ค้าค่อยๆเด็ดกลีบดอกกุหลาบออกทีละกลีบ
ในใจผมนี่คิดว่า
ซวยล่ะ ภาษาไทยคำว่าแรปปิ้ง นี่ตีความได้ว่าแค่เด็ดดอกไม่ให้ตูเหรอฟระ? อย่าเล่นตลกกับตูแบบเน้น้าเฟ่ย!
แต่ก็ไม่ใช่แบบที่คิดครับ สุดท้ายกลีบดอกไม้ที่ถูกเด็ดออกคือกลีบกุหลาบช้ำๆที่ร้านตั้งใจเอาออกให้ครับ
ด้วยความที่การจัดดอกไม้ใช้เวลาค่อนข้างนาน ช่วงที่ผมรอจึงเดินดูร้านอื่นไปเรื่อยทำให้เจอดอกไม้สวยๆ อันอื่นเข้า
「ดอกไม้ไม่ห่วยไปหน่อยเหรอ?นี่ซื้อดอกกุหลาบราคาถูกมาใช่มั้ย?เลวววว!」
นี่เราดูเป็นตัวร้ายมากเลยนะความคิดเธอเนี่ย 555(ผู้แปล)
ถ้าถูกพูดแบบนี้จะทำไงดี ผมเกิดอาการร้อนรนขึ้นมา
แต่พอได้รับช่อกุหลาบ 100 ดอกที่ร้านจัดออกมาอย่างพิถีพิถัน เป็นช่อดอกไม้ที่สวยมาก ผมก็ใจชื้นครับ
ดอกไม้อื่นๆก็ซื้อมาจนครบแล้ว ผมจึงเลือกขึ้นแทกซี่กลับสถานีหัวลำโพงเพราะของผมเยอะ
ไอ้การที่ต้องถือช่อดอกไม้ใหญ่ๆแบบนี้ ผมทำตัวไม่ถูกเลยครับ
เมื่อขึ้นมาบนแทกซี่ ผมก็พอจะมีเวลาได้พักสักนิด โดยที่ไม่ต้องถูกสายตาคนอื่นจ้องมอง นอกจากพี่แทกซี่
เฮ้อ เปลี่ยนจากนั่งวินมอไซค์มาเป็นแทกซี่ ไม่ต้องใส่หมวกกันน็อคเชยๆแถมมีแอร์เย็นๆแบบนี้นี่ โคตรสบาย…. แต่พอคิดได้ปุ๊บ เฮ้ย…. รถติดนี่หว่า
เลยเวลาตามที่กำหนดไว้แล้วด้วย พอถึงสถานีหัวลำโพงปุ๊บ ผมก็ต่อรถไฟใต้ดิน ที่หน้าทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินจะมีจุดตรวจสัมภาระครับ พอผมเดินผ่าน สัญญาณปี๊ด ดังขึ้น
ป้ายามที่ตรวจสัมภาระก็หยุดผมที่ถือช่อดอกไม้เต็มไม้เต็มมือไว้
นึกว่าป้าจะว่าอะไร ป้ากลับชี้มาที่ช่อดอกไม้ แล้วพูดเป็นภาษาไทยกับผมว่า “สวยมาก” จากนั้นผมก็ผ่านที่ตรวจไป
ภายหลังคำพูดของป้าคนนี้ช่วยเหลือจิตใจของผมได้พอสมควรเลย แม้แต่คนแปลกหน้ายังชมว่าดอกไม้ช่อนี้สวย การขอแต่งงานก็น่าจะสำเร็จล่ะนะ
หลังจากนั้น หนุ่มที่ถือช่อกุหลาบช่อโตก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนบนรถไฟอีกก็อายนะครับ แต่ด้วยคำพูดของป้ายามทำให้ความกังวลของผมผ่อนคลายขึ้น
แต่คุณป้าครับ…ตั้งใจเช็คสัมภาระบ้างนะครับ
ไปซื้อลูกโป่ง
ผมกลับคอนโด และจัดการเอาดอกไม้กับของต่างๆวางไว้ แล้วก็ออกไปซื้อลูกโป่งต่อครับ
ก่อนวางแผน ผมก็มีสับสนครับว่าจะซื้อลูกโป่งที่ไหนดี
ที่สีลมคอมเพล็กก็มีร้านขายอุปกรณ์สำหรับจัดปาร์ตี้ครับ มีลูกโป่งขายอยู่บ้าง แต่ไม่ค่อยโอเค เลยตัดไป
ถ้าไปเยาวราชคงมีหมดทุกอย่าง แต่ย่านวุ่นวายแบบเยาวราชนี่ร้านขายลูกโป่งอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ถ้าหลงก็คงเสียเวลามากครับ
สุดท้ายผมจึงเลือกเอาร้านขายลูกโป่งและอุปกรณ์ตกแต่งที่อยู่ตรงห้วยขวางครับ ความจริงผมก็คิดว่าควรจะมาดูลาดเลาก่อนแต่โดยปกติผมกับแฟนเจอกันทุกวัน การขอออกไปข้างนอกคนเดียวก็คงจะเป็นพฤติกรรมที่น่าสงสัยครับ
วันนี้จะพลาดไม่ได้ ผมพูดในใจกับตัวเอง ในระหว่างที่เดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดินห้วยขวาง ไปยังร้านลูกโป่งที่ไม่เคยไป อาศัยดูแผนที่ร้านจากgoogle map เอา
- ผมเดินเข้ามาในซอยแบบโคตรไทย 100% ร้านลูกโป่งที่เจอดูเป็นเพียงทาวเฮ้าส์ธรรมดาที่มีลูกโป่งประดับอยู่เล็กน้อย
- 「นี่มันร้านลูกโป่งจริงเหรอ….ตรงบริเวณทางเข้าร้านมีแมวสวมปลอกคอนอนอยู่…น่ารัก…] แต่รู้สึกมันจะโกรธผมครับ รีบเข้าร้านดีกว่า
โอเค สรุปเป็นร้านขายลูกโป่งจริงๆครับ ผมได้ลูกโป่งในแบบที่ต้องการครบอย่างไม่มีปัญหาครับ ตอนนี้เลทกว่ากำหนดมา 45 นาทีแล้ว ผมจึงต้องรีบกลับคอนโดแล้วครับ หน้าถัดไป จะเป็นการเริ่มประดับห้อง
เตรียมที่ซ่อนก่อนแฟนกลับมา
เวลาคาดการณ์ที่แฟนผมจะกลับมาถึงห้องคือประมาณ 5 โมงครึ่ง ดังนั้นก่อนจะถึงเวลาผมต้องเอาของที่เอามาเก็บไปซ่อนเพื่อทำให้ทุกอย่างดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมมีเวลาอีกนิดหน่อย ก็เลยลองซ้อมเอาของมาประดับเตียงดู ยังนึกภาพไม่ออกเลยครับว่ามันจะออกมาเป็นยังไงนอกจากช่อกุหลาบแล้ว ผมยังซื้อช่อดอกไม้มาอีก 2 ช่อใหญ่ครับ จัดการซ่อนแจกันไว้ใต้โต๊ะซะ ระหว่างที่แฟนกลับมาห้องก่อนออกไปฟิตเนส ผมก็จะออกจากห้องอีกครั้งครับ เพื่อจะได้ดูสถานการณ์ในห้องแบบสดๆ ผมจึงต่อสไกป์ทิ้งไว้ แต่สัญญาณสไกป์หลุดผมจึงต้องล้มเลิกอย่างเสียมิได้ ความรีบร้อนทำให้สุดท้ายผมลืมของสำคัญไว้
ต่อไปเป็นขั้นตอนการย้ายมาลานจอดรถเพื่อสูบลมลูกโป่ง ลูกโป่งที่จะต้องสูบทั้งหมดมีประมาณ 40 ลูกครับ ก่อนหน้านี้ผมซื้อที่สูบลมจากไดโซะมาเตรียมไว้แล้ว (ราคา 60 บาท) ตอนที่สูบลม ถ้ามีคนมองจากข้างหลังคงเข้าใจผิดคิดว่าผมทำอนาจารแน่ๆครับ พอสูบลมจนถึงลูกสุดท้าย นิ้วมือไม่มีแรงสั่นพับๆ ผมใช้เวลาสูบลมลูกโป่งเสร็จเร็วกว่าที่คิด เลยพอจะมีเวลานิดหน่อย ได้ออกมาเป็นถุงขยะใหญ่ๆ 5 ใบครับ พอมีเวลาก็เลยเริ่มทวนแผนต่างๆที่เตรียมไว้ในหัว กลับห้องไประหว่างที่คาดว่าแฟนจะไปฟิตเนส…ประดับตกแต่งห้อง…รอเวลาแฟนกลับมา … ยื่นช่อดอกกุหลาบ 100 ดอกให้ พร้อมกับขอแต่งงาน!
ช่อกุหลาบ 100 ดอก!
ช่อกุหลาบ 100 ดอก・・・・ กุหลาบ 100 ดอก・・・・ กุ ห ลา บ・・・・!?&/%#*&!!? ลืมไว้ในห้อง!!!!!!!!ผมลืมของสำคัญที่สุดไว้ในห้อง!เพราะมัวแต่ง่วนกับปัญหาสไกป์หลุด เลยลืมดอกไม้เอาไว้ในครัวซะอย่างนั้น แล้วยังวางไว้ในที่สะดุดตาอีก
ไอ้การที่ผมลืมช่อดอกกุหลาบ 100 ดอกที่ถือเป็นของชิ้นสำคัญที่สุดในการขอแต่งงานที่ผมอุตส่าห์เตรียมอย่างลับๆไม่ให้แฟนรู้ไว้ในห้องนั้น…%#?!$&/@
「โอย จบกันแผนเซอร์ไพรส์ใหญ่ที่เตรียมขอแต่งงานวันนี้」
「หรือว่าช่อกุหลาบอันนั้นจะอ้างให้เป็นของขวัญด้วยเหตุผลอื่นดี?」
「เหตุผลอื่นของการให้ช่อกุหลาบ 100 ดอกนอกจากขอแต่งงานก็คงไม่มีอ่าดิ」
「เอายังไงสักอย่างไง ลางานซ่อมอีกทีละกัน
「แล้วจะทำไงกับลูกโป่งที่สูบลมแล้วพวกนี้ดีวะ」
และสถานการณ์เลวร้ายต่างๆที่ผมคิดไว้ ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นความเบลอที่สุดสำหรับผมแล้วครับ เอาเถอะ ถึงเวลาจริงที่จะต้องทำตามแผนขอแต่งงานแล้วครับ
สแตนบายรอระหว่างที่แฟนไปฟิตเนส (1ชั่วโมง)
พอผมกลับไปที่ห้องก็เจอช่อดอกไม้วางอยู่ครับ ไม่ว่าจะลองมองจากมุมไหนของห้องก็เห็น
「วางอยู่ทนโท่แบบนี้แผนแตกแน่นอน….」
ถึงนอยด์ไปเปล่าประโยชน์ ผมจึงต้องปรับอารมณ์ใหม่ครับ โชคอาจจะดี?ที่แฟนผมบางทีมักจะไม่ค่อยใส่ใจสิ่งรอบข้างเท่าไหร่ ครั้งนี้ผมก็จะเชื่อว่ามันจะต้องเป็นแบบนั้นครับ
ไม่สนใจละ ผมเริ่มประดับลูกโป่งที่เตรียมไว้ตามแผนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเรียงลูกโป่งเป็นคำว่า「MARRY ME」และเพื่อไม่ให้ออกมาเป็น「MERRY MA」ผมได้ทำเช็คความถูกต้องสลับไปมาอยู่หลายรอบเลยครับไอ้เจ้าตัว「M」นี่ผมดูยังไงก็เหมือนช่วงล่างลำตัวคน เรื่องขำๆเล็กๆน้อยๆนี้ช่วยทำให้ความรู้สึกตึงเครียดของผมผ่อนคลายลงไปได้นิดหน่อยถึงแม้ที่ออกมาจะไม่ได้เป็นอย่างที่วาดไว้ในหัว 100% แต่ก็ประดับเสร็จตามแผนครับจากนั้นในที่สุดก็ถึงเวลาที่แฟนกลับมาแล้วครับ ผมแอบดูแฟนผ่านช่องตาแมวที่ประตูอย่างกับคนโรคจิตเลยครับ
ตอนนี้แฟนกำลังจะอ่านข้อความในการ์ดที่ผมแปะไว้อยู่หน้าห้องครับ ดูยังไงก็น่าจะยังไม่รู้ตัวเรื่องช่อดอกกุหลาบนะครับ ต่อจากนั้นแฟนก็ทำตามข้อความที่ผมเขียนไว้ในการ์ด มีใจความว่าให้ไปเช็คที่กล่องรับจดหมายข้างล่างคอนโด ถึงตอนนี้ก็ยังประมาทไม่ได้ครับ เพราะของจริงจะเริ่มหลังจากที่แฟนผมกลับมาที่ห้องอีกครั้งต่างหาก!
ผมจึงมาสแตนบายรออยู่ที่ห้องนอนและซ้อมพูดขอแต่งงานครับ ผมตื่นเต้นมากพูดติดๆขัดๆ ฟองฟอดๆเต็มปากอย่างกับปู แถมเหงื่อที่รักแร้ก็ไหลอย่างกับน้ำตก
ตอนที่ตัดสินใจว่าจะขอแต่งงานผมพกความมั่นใจมา 99% อีก1% เป็นความกังวล พอมาตอนนี้ผมมั่นใจแค่ 1%อีก99% เป็นความกังวลล้วนๆเลยครับ!
เรื่องนั้นช่างมัน ตอนนี้แฟนผมได้กลับมาที่ห้องอีกครั้งแล้วครับ!
เสียงประตูทางเข้าห้องเปิด! (ก่อนเข้ามาถึงห้องนอนจะต้องเปิดประตูอีกบานครับ)
「นี่?เธออยู่ไหนอ่ะ?」
ในที่สุดเวลาขอแต่งงานของผมก็มาถึง!
ตอนที่กำลังตื่นเต้นผมถ่ายเซลฟี่เอาไว้ทั้งๆที่ปกติไม่เคยทำอะไรแบบนี้ เพื่อเช็คดูว่าตัวเองไม่ได้ตื่นเต้นจนเกินไปหลังจากนั้นประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออก!!!! คำพูดที่เตรียมไว้ในหัวลอยหายแว๊บไปเลย!!!!
จะขอแต่งงานสำเร็จอย่างที่ในหัววาดภาพไว้หรือไม่ คำถามในใจจะได้รับคำตอบแล้วครับ
การขอแต่งงานในห้องนี่มันจะโอเคจริงเหรอ? ฉันอยากจะให้สถานที่ขอแต่งงานเป็นที่ที่เราจะมาฉลองได้ทุกปี ถ้าถูกว่ามาแบบนี้ก็จบเลย ประดับห้องแบบนี้จะดีเหรอ? ไม่ห่วยไปหน่อยเหรอ? ควรใช้เวลาให้มากกว่านี้มั้ยนะ? จะยอมตกลงแต่งงานกับคนต่างชาติอย่างผมมั้ยนะ? ช่อกุหลาบ 100 ดอกไม่ห่วยไปใช่มั้ย? ไอ้MERRY กับ MARRY จะต่างกันยังไงก็ไม่รู้แล้ว! หรือตัว [M] ที่จะมองยังไงก็เหมือนลำตัวคน! และผมที่ถ่ายเซลฟี่ตัวเองเป็นครั้งแรกแบบนี้จะดีเหรอ!
จากนี้ไปจะเปิดเผยหน้าแฟนผมแล้วครับ!!!!
หน้าถัดไปเป็นการขอแต่งงานในที่สุด!
เซอไพรส์ขอแต่งงานประสบความสำเร็จ!
「แต่งงานกันเถอะ!」 คำพูดต่างๆที่คิดไว้ก่อนขอแต่งงาน เช่นเรื่องราวที่พวกเราผ่านกันมา ต่อจากนี้ไปก็อยู่ด้วยกันนะ อะไรแบบนี้ ตื่นเต้นจนประโยคยาวๆพวกนี้ที่เตรียมไว้หายแว่บไปเลยครับ
แม้จะลืมช่อกุหลาบ 100 ดอกไว้ในห้อง แต่ผมก็มีทางเลือกเพียงแค่ถามเธอตรงๆออกไปแบบนั้น
แฟนก็นิ่งไปพักนึง ดูเหมือนจะใช้เวลาทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่
ตอนที่แฟนเงียบไปนั้น จริงๆอาจจะเป็นแค่ช่วงเวลาแปปเดียว แต่สำหรับผมยาวนานเป็นนาที หลายนาที ราวกับเป็นชั่วโมงเลยครับ
จากนั้นแฟนของผมก็ให้คำตอบมาพร้อมกับมือที่สั่นเทา
「อื้ม」
ดวงตาของแฟนก็มีเหงื่อไหลซึมออกมา ผมที่ความตื่นเต้นทั้งหลายที่สะสมมาได้รับการปลดปล่อยก็ทำให้มีเหงื่อไหลที่ตาเช่นเดียวกันครับ
หลังจากที่ขอแต่งงาน
ดูยังไงแฟนผมก็ไม่รู้ตัวเรื่องช่อดอกไม้ที่ลืมไว้ในห้องจริงๆ ต้องขอบคุณเทพเจ้าแห่งความเมินเฉยครับ 555
ห้องคอนโดที่ผมอาศัยอยู่ตอนนี้เป็นห้องเช่าครับ อนาคตถ้าจะมาฉลองครบรอบวันแต่งงานที่นี่ก็คงจะลำบาก ดังนั้นหลังจากขอแต่งงานแล้ว เราจึงไปร้านอาหารที่ไปตอนเริ่มจีบกัน เพื่อเก็บรักษาไว้เป็นสถานที่ให้เรากลับมาเยี่ยมได้ในวันครบรอบแต่งงานเหมือนแฟนผมจะปลื้มกับช่อดอกกุหลาบ 100 ดอก ของผมมาก คืนนั้นตอนที่เราออกไปข้างนอก เธอก็ถือไปด้วย ถึงจะค่อนข้างหนัก และลำบากหน่อย ความรู้สึกที่ถูกผู้คนมองด้วยความสนใจเป็นอะไรที่เยี่ยมยอดมากครับ
ต่อจากนี้ ผมจะไปแนะนำตัวกับพ่อแม่ของแฟนอย่างเป็นทางการครับ จวบจนถึงตอนนี้ผมไปพบพ่อแม่แฟนหลายครั้งแล้ว ก็คงจะไม่มีเหตุการณ์ที่บ้านแฟนจะบอกว่า “ไม่อนุญาตให้แต่งงาน” แน่ๆครับ
จริงๆวันที่ผมขอแต่งงาน แฟนผมดีใจจนเก็บไม่ไหวเลยวิดิโอคอลไปหาทางคุณแม่เพื่อแจ้งข่าวครับ แต่ผมจะไปแจ้งข่าวกับคุณพ่อของแฟนด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงกำชับแฟนให้ขอร้องคุณแม่ว่า [เก็บความลับไว้ก่อนอย่าเพิ่งบอกคุณพ่อเด็ดขาด!]
เช้าวันรุ่งขึ้น คุณแม่ก็วิดิโอคอลมาหาแฟนครับ
ที่บอกว่าให้ทำเป็นไม่รู้เรื่องนั้น คุณแม่ตอบมาว่า「เผลอบอกพ่อไปแล้วละ(แหะๆ)」
แย่แล้ว
แต่คุณพ่อของแฟนดูเหมือนจะ”โล่งใจ” ครับ ท่านบอกว่าแค่พูดขอทางโทรศัพท์ก็ได้ แต่ว่าไม่ได้หรอกครับ ผมต้องไปพูดขอต่อหน้าด้วยตัวเอง ผมจะไปครับ
「กรุณาให้ผมแต่งงานกับลูกสาวของคุณด้วยนะครับ」 ผมจะไปพูดคำนี้เป็นภาษาไทยครับ ก่อนจะพูดจริงๆปากคอก็เริ่มแห้งขึ้นมาละครับ ต่อจากนี้ก็คงมีเรื่องขั้นตอนการแต่งงานระหว่างประเทศ พิธีแต่งงานและเรื่องที่จะต้องทำต่างๆมากมาย
ก่อนหน้านี้แฟน (ภรรยา) ผมก็ให้กำลังใจในการเขียนบล็อกมาตลอด ซึ่งในโอกาสต่อไปผมจะขอเล่าเรื่องราวที่จะลองทำนู่นทำนี่เองเกี่ยวกับการแต่งงานระหว่างประเทศมานำเสนอนะครับ รอติดตามชมนะครับ
เพิ่มเติม
ไปแนะนำตัวกับที่บ้านแฟนเรียบร้อยแล้ว
การเดินทางไปอุบลเพื่อแนะนำตัวกับที่บ้านแฟน กลายเป็นการขอแต่งงานที่เคร่งประเพณีเกินคาด