การแต่งงานกับคนต่างชาติฟังดูยุ่งยากใช่ไหมครับ ซึ่งก็ยุ่งยากตามนั้นจริงๆ 55
ไม่ใช่แค่ผมกับแฟนเท่านั้นครับที่ยุ่ง พ่อแม่กับญาติๆก็ยุ่งยากด้วย
บ้านเกิดผมอยู่โทยามะครับ ส่วนของแฟนอยู่ที่อุบล ด้วยความที่ระยะทางห่างกัน การที่พาพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายมาพบกันจึงถือเป็นงานใหญ่เลยทีเดียว
การพบเจอกันครั้งแรกของพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย เราตัดสินใจเลือกให้เจอกันที่อุบลซึ่งเป็นบ้านเกิดของแฟนครับ
จุดประสงค์หลักคือเพื่อมาดูสถานที่จัดงานแต่งของผมที่จะจัดขึ้นที่นี่และมาเยี่ยมผมด้วย ส่วนจุดประสงค์อีกอย่างคือท่านอยากมาดูว่าแฟนผมเติบโตขึ้นมาด้วยสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่อย่างไร
พ่อแหวะกับผักกลิ่นฉุนของอาหารเวียดนาม
การเดินทางจากบ้านที่โทยามะมาถึงอุบล จำเป็นต้องแวะต่อเครื่องที่โตเกียวและกรุงเทพก่อน การเดินทางที่นานขนาดนี้ คงมาได้แค่ตอนที่ยังแข็งแรงอยู่ครับ
ถ้าเดินทางรวดเดียวทั้งวันจากโทยามะไปอุบลคงเหนื่อยมากแน่ๆ พ่อแม่จึงเลือกพักที่กรุงเทพก่อนหนึ่งคืน แล้วจึงนั่งเครื่องต่อไปอุบลในวันรุ่งขึ้น
ระหว่างทางที่พวกเรานั่งแท็กซี่มุ่งหน้าไปยังสนามบินดอนเมือง แท็กซี่ขับด้วยความเร็ว
“จะไม่นั่งแท็กซี่ไทยอีกแล้ว!”พ่อแม่ที่เมารถของผมพูดขึ้น
สำหรับพวกเรา รู้สึกว่าคนขับก็ไม่ได้ขับน่ากลัวอะไร ออกจะขับปลอดภัยกว่าแท็กซี่ปกติด้วยซ้ำ หรือว่าพวกเราชินกับความเป็นไทยไปแล้วนะ
พอถึงอุบลพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็ได้เจอกันครับ
แม่ผมจำคำทักทายภาษาไทยมา อยากที่จะพูดกับพ่อแม่ของแฟนแต่ด้วยความประหม่าเกินไปหรืออะไรก็ไม่รู้ คำพูด”สวัสดีค่ะ” ที่ควรเป็นคำทักทายแรกที่เจอกันจึงกลายเป็น
Kob Khun Khun Kaa!
มีความหมายในภาษาไทยว่า “ขอบคุณค่ะ” ถึงจะเอะใจแต่ผมทำเป็นไม่สนใจไอ้คำซ้ำ “คุณคุณ”ของแม่
ฝ่ายพ่อแม่แฟนก็ยิ้มออกมาครับ
เวลาที่เราเดินทางมาถึงอุบลเลยเวลาเที่ยงมาแล้ว เราจึงรีบไปทานอาหารกลางวันกันทันที
ถึงจะเป็นอุบลแต่เรามาร้านอาหารเวียดนามกันครับ
อาหารเป็นประเภททานร่วมกับผักเครื่องเคียงทีละเล็กละน้อยตามความชอบ
แต่พ่อผมผู้ที่ไม่เคยทานผักชีมาก่อน ยัดผักชีเข้าปากไปทั้งต้น
“แหวะ” พ่อทำท่าแหวะออกมาครับ
ขนาดผมบอกไว้ก่อนแล้วว่ามันกินทีละนิดก็พอ ก็ยังหัวแข็งไม่ฟังครับ
ไม่พอผักเครื่องเคียงยังมีใบโหระพาที่ปกติท่านก็ไม่ชอบอยู่แล้ว เหมือนเดิมครับ ยัดเข้าไปคำเบ้อเริ่ม
“แหวะ” ทำท่าแหวะออกมาอีกครับ
คนเราพอแก่เกินวัย 60 จะเป็นแบบนี้สินะครับ
แต่พ่อดูจะชอบข้าวผัดที่ใช้ข้าวไทยมากครับ ช่วงที่อยู่ไทยท่านพูดว่า “ข้าวไทยนี่มันเหมาะทำข้าวผัดจริงๆ” พูดบ่อยมาก น่าจะ 30 ครั้งได้
แม่บรรจงแกะห่อ”มาซุซูชิ” ของฝากที่นำมาจากโทยามะ
แม่จัดการตัดแบ่งมาซุซูชิออกมาเยอะเกินจนดูยังไงก็ไม่น่าจะกินกันหมด แถมตัดออกมาได้ไม่สวยอีกด้วย
ร้านอาหารเวียดนามที่เราไปทานกันครั้งนี้ครับ
“กอล์ฟเฟอร์เฮ้าส์”
ไปเที่ยววัดหนองบัว
เราพักที่โรงแรม “สุนีย์ ทาวเวอร์“ที่มีส่วนของห้างสรรพสินค้า เป็นจำนวนหนึ่งคืน
โรงแรมดีทีเดียวครับ ห้องพักดูหรูหราและสะอาด
วิวนอกหน้าต่าง ให้ความรู้สึกไม่แออัดเป็นป่าคอนกรีตยังคงเหลือความเป็นชนบทอยู่
มองเห็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของอุบลอย่าง”วัดหนองบัว”ด้วยครับ
รูมเซอร์วิส มีบริการจำหน่ายถุงยางอนามัยด้วยครับ…
ผมลองคิดเล่นๆว่าพนักงานที่มาส่งถุงยางอนามัยจะรู้สึกยังไงนะ และคนที่โทรสั่งนี่อยู่ในสถานการณ์แบบไหนกัน…โอ้พอแค่นี้ดีกว่านะครับ
เราตัดสินใจลองมาวัดหนองบัวที่มองเห็นจากวิวนอกหน้าต่างของโรงแรม
วัดเพิ่งทำการบูรณะซ่อมแซมใหม่ สะท้อนล้อแสงแดดจนแสบตาครับ
ข้างในก็สวยงามระยิบระยับมากครับ
ซื้อธูปเทียนสำหรับสักการะแล้ว เราก็เข้าไปไหว้พระครับ
พ่อข้อเข่าไม่ค่อยดีครับ ในรูปนี่กำลังร้องว่า “โอะโอะโอ๊ยยย”
ดูสถานที่แต่งงาน
จุดประสงค์หลักของการมาอุบลของผมกับพ่อแม่ในครั้งนี้ก็คือการมา”ดูสถานที่จัดงานแต่ง”ครับ
สถานที่ที่เราได้รับอนุญาตในการแต่งงาน ไม่ใช่สถานที่ที่มีไว้สำหรับจัดงานแต่งงานโดยเฉพาะครับ
ซึ่งดูเหมือนเราจะเป็นคู่แรกที่ได้จัดงานที่นี่
บ้านเรือนไทยหลังนี้เจ้าของสถานที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศครับ
ไม่ใช่เท่านั้นครับ ผนังของบ้านทรงไทยหลังนี้ เจ้าของก็อุตส่าห์นำมาจากอยุธยาเลยครับ
ชั้นล่างมีพื้นที่สำหรับจัดเลี้ยงได้ครับ
แม้กระทั่งเฟอนิเจอร์กับของประดับตกแต่งก็มีความเป็นเอกลักษณ์แบบไทยๆสูงครับ
ชั้นสองของบ้าน เป็นบ้านพักทรงไทยสไตล์เสาค้ำยัน
ผนังนี้แหละครับที่นำมาจากอยุธยา
ยิ่งไปกว่านั้น! เรือนไทยหลังนี้ยังมีห้องสำหรับพักได้จริงด้วยครับ!
แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เปิดให้ใครเข้าพักอย่างเป็นทางการครับ
มีเครื่องปรับอากาศด้วย เอาไว้รับมือกับช่วงอากาศร้อน
เราไม่ได้พักที่นี่ในวันจัดงาน แต่ด้วยบรรยากาศดีๆแบบนี้ พ่อแม่ผมประทับใจกับสถานที่มากครับ
อดใจรอไม่ไหวกับวันจัดงานจริงแล้วสิครับ